อาการทารก : วิธีสังเกตอาการแพ้อาหารในทารก (ทารกแพ้อาหาร)

วิธีสังเกตอาการแพ้อาหารในทารก

  เอ…ทำไมลูกฉันไอไม่หยุด? แถมไม่ยอมกินข้าวง่ายๆสะด้วย ถ้ายังไม่รู้ว่าลูกตัวเองกำลังแพ้อาหาร! รีบมาดูคลิปนี้เลยค่ะ  

  ***ลูกอยากหม่ำๆ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ลูกของเราอาจกินได้ค่ะ เมื่อเข้าสู่วัย 4 - 6 เดือนเป็นช่วงที่ทารกเริ่มฝึกกินอาหาร จนในบางครั้งเราอาจลืมสังเกตไปว่าอาหารแบบนี้ลูกของเราแพ้อยู่หรือเปล่า? อ้าว! ถ้าช่วงฝึกกินอาหารกลายเป็นฝันร้ายให้ลูก ลูกจะกินอาหารยากขึ้นเป็นปัญหาใหญ่แน่นอนค่ะ  สำหรับอาการแพ้อาหารเบื้องต้นที่เราสังเกตได้ มีอาการต่อไปนี้เลย!***

อาการที่ 1 ผื่นสีแดงหรือผื่นลมพิษ!

  อีกหนึ่งอาการที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดเลยค่ะ คืออาการผื่นสีแดง! มักจะพบหลังจากที่ทานอาหารกลุ่มโปรตีน นม ถั่ว ไข่และปลาชนิดต่างๆ เพราะผิวของทารกนั่นบอบบางมากเมื่อรับอาหารที่ตัวเองแพ้ก็จะแสดงออกทางผิวหนังอย่างชัดเจน และอาจมีอาการคันร่วมด้วย 

  สำหรับผื่นสีแดงที่เป็นสาเหตุของการแพ้อาหารนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะหายได้เองภายใน 2 - 3 ชั่วโมงค่ะ ซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสุขภาพลูกแต่ละคนเช่นกัน บางคนอาจหายไปเพียง 1 ชั่วโมง ในขณะที่ทารกอีกคนอาจใช้เวลากว่าหลายชั่วโมงค่ะ 

อาการที่ 2 อาเจียนและถ่ายเหลว! 

  แน่นอนค่ะ ว่ากระเพาะที่รับอาหารที่ตัวเองแพ้ก็คงหนีไม่พ้นกับปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการปวดท้องจนกระตุ้นให้เกิดการอาเจียน ไปจนถึงท้องเสียและถ่ายเหลวมีกลิ่นแรง อาจรุนแรงไปจนถึงถ่ายแล้วพบมูกเลือดปะปนอยู่ด้วย 

  ถ้าเริ่มมีอาการนี้หลังที่ลูกรับประทานอาหารเพียงไม่กี่ชั่วโมง ควรรีบพาลูกพบแพทย์ให้ไวเลยค่ะ เพื่อไม่ให้ทารกถ่ายเหลวจนร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าเกินไป

อาการที่ 3 ไอและมีน้ำมูก!

  อาการนี้อาจทำให้คุณแม่เข้าใจว่าลูกเป็นไข้หวัดปกติ แต่รู้ไหมคะ? ว่าการแพ้อาหารก็มีอาการนี้ด้วยนะ เป็นเพราะหลอดลมตีบบวมจากการแพ้เลยทำให้หายใจติดขัด นำมาสู่อาการไอและมีน้ำมูกนั่นเอง ถ้าคุณแม่ไม่แน่ใจและพบว่าลูกไออย่างต่อเนื่อง ควรรีบพบแพทย์ค่ะ เพราะถ้าหลอดลมตีบบวมมากกว่านี้อาจส่งผลไม่ดีกับลูกได้ในไม่ช้า!

  ***โดยปกติแล้วอาการแพ้อาหารจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของทารกแต่ละคนค่ะ แต่ถ้ามีอาการติดยาวนานกว่านี้และมีอาการที่รุนแรง เช่น ปากบวม หายใจไม่ออก ต้องรีบพบแพทย์ให้ไวที่สุดเลย เพราะลูกกำลังตกอยู่ในอาการที่ต้องได้รับความช่วยเหลือเท่านั้นค่ะ***

“สุขภาพลูกที่ปลอดภัย คือความใส่ใจของพ่อแม่”