ความฉลาดไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์เท่านั้นนะคะ แต่ฝึกได้ตั้งแต่เป็นทารก มาดูทางลัด 7 ข้อที่ พ่อแม่ทำได้ง่ายๆ กันเลย!!
ดูเสร็จอย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อลูกน้อยด้วยนะคะ^^
1. ฝึกให้สัมผัสวัตถุต่างๆ
เวลาที่พ่อแม่ให้ลูกน้อยได้ฝึกการจับสัมผัสวัตถุต่างๆ พ่อแม่ไม่จำเป็นให้ลูกจับที่เป็นของแข็งเสมอไป อาจจะให้ลองของจำพวกของเหลวบ้าง เช่น เวลาอาบน้ำ พ่อแม่อาจลองให้ลูกได้สัมผัสทั้งน้ำอุ่น น้ำเย็น ให้เด็กได้รู้จักแยกแยะด้วยการสัมผัส ให้เขาได้รู้สึกถึงความแตกต่าง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตาเห็นจะเหมือนกัน แต่พอสัมผัสแล้วมันต่างกัน
กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกได้ฝึกสัมผัสของที่หลากหลาย คือการพาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ให้ลูกได้จับ ดิน หิน ทราย ใบไม้ ต้นไม้ โดยเฉพาะหินที่มีหลายรูปทรง เด็กๆ จะได้รู้ว่าสิ่งของที่แม้จะเป็นชนิดเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นที่ต้องมีรูปร่างหรือรูปทรงที่เหมือนกันได้
วิธีฝึกที่ง่ายที่สุด คือการคุยกับลูกบ่อยๆ เพราะลูกน้อยจะเกิดการจดจำของโทนเสียงสูง-ต่ำ คำศัพท์ใหม่ๆ โดยเฉพาะถ้าอยากให้ลูกพูดได้ ภาษาก็ต้องเริ่มตั้งแต่เล็กๆ นี้แหละดีที่สุด ไม่เพียงแค่นั้น การใช้เสียงเพลงก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกน้อยได้ฝึกการฟังที่ดีด้วย การร้องเพลง เล่นดนตรี ก็เช่นกัน เพราะจะทำให้เขาได้เข้าใจจังหวะเพลง การเคลื่อนไหวร่างกายให้เข้ากับจังหวะ
3.ฝึกกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน
คุณแม่ควรพาลูกน้อยทำกิจวัตรต่าง ๆ ให้เป็นเวลาประจำสม่ำเสมอ ให้ลูกสามารถคาดการณ์ได้นั้น มีแนวโน้มจะเป็นเด็กที่มีสมาธิที่ดี เนื่องจากลูกจะรู้สึกมั่นคงและสบายใจกับสิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้ว่าในแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมต้องฝึกเรื่องการมองให้ลูกล่ะ? คำตอบก็คือ ทารกหลังจากคลอดออกมา เริ่มแรกจะมองเห็นไม่ชัด ระยะการมองเห็นก็จะใกล้ๆ สีที่เห็นชัดที่สุดจะเป็นสีขาวกับดำ และจะเริ่มเห็นได้ไกลมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการมองเห็นที่ดีต้องเป็นของที่มีสีสันสดใส เพื่อดึงดูดความสนใจลูกน้อย โดยเฉพาะอย่างสีแดง เหลือง น้ำเงิน
ตัวช่วยในการฝึกคงนี้ไม่พ้นของเล่น ตุ๊กตา หนังสือที่สีสันสดใส พ่อแม่อาจจะใช้สิ่งนี้เป็นกิจกรรมเล่นกับลูกได้
พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเลือกอาหารที่ไม่ปรุงรสให้ลูกทาน ทำให้ลูกๆ ชินกับรสชาติอาหารจืดๆ บ้าง หรือรสตามธรรมชาติบ้างๆ จริงๆ แล้วอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงรสเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่พ่อแม่ก็ควรฝึกให้ลูกได้ลองกินอาหารในรสชาติอื่น ให้รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าหวาน เค็ม เปรี้ยว ขม หรือจะลองให้ลูกลองปรุงรสชาติอาหารที่ตนเองชอบดู ถ้าใส่น้ำตาลเท่านี้จะหวานไปไหม ใส่น้ำปลาเท่านี้จะเค็มหรือเปล่า อีกทั้งน้ำปลาแต่ละยี่ห้อก็มีความเค็มไม่เท่ากันอีก ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกได้มีประสาทสัมผัสที่ดีอย่างแน่นอน
เด็กๆ เมื่อยังเล็กๆ คงแยกแยะไม่ออกว่ากลิ่นนั้นกลิ่นนี้คืออะไร เหม็นหรือไม่เหม็น คงจะมีแต่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น บางทีการที่ให้ลูกได้รับรู้กลิ่นก็จะทำให้เขาได้รู้จักการระวังตัว เช่น กลิ่นไหม้ ถ้าลูกได้กลิ่นแบบนี้เมื่อไหร่ในบ้าน แสดงว่าเป็นสัญญาณไม่ดีแล้ว หรือกลิ่นอาหารที่เหม็นเน่า แสดงว่าลูกไม่ควรกินมันน่ะ เดี๋ยวจะป่วย
นอกจากนี้ การให้ลูกได้ลองดมกลิ่นคือ ดอกไม้ และผลไม้ชนิดต่างๆ จะทำให้เขาแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้ดี ซึ่งพ่อแม่อาจใช้การดมกลิ่นเป็นเกมก็ได้ เช่น เวลาที่คุณแม่ไปเลือกซื้ออาหารหรือของเข้าบ้าน ก็ลองหยิบจับผักหรือผลไม้บางชนิดให้ดม หรือจะนำมาเล่นเกมปิดตาทายชนิดผักและผลไม้กับลูกก็ได้ ซึ่งเป็นเกมที่สนุก แถมไม่ต้องเสียเงินเยอะ เนื่องจากคุณแม่ต้องซื้อมาทำอาหารอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ
7. ฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
กล้ามเนื้อเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กทรงตัวได้ แถมยังหยิบจับอะไรก็สะดวกไปหมด กิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกายจะช่วยให้ลูกน้อยได้พัฒนาทักษะการทรงตัวที่ดี